SEO คืออะไร? เข้าใจเพื่อเป็นอันดับ 1 บนโลกดิจิตอล
สารบัญบทความ
- SEO คืออะไร?
- ข้อดีของการทำ SEO
- ข้อจำกัดในการทำ SEO
- SEM คืออะไร?
- SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร?
- ธุรกิจแบบไหนควรทำ SEO
- เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการทำ SEO
ทำไมเวลาค้นหาอะไรบน Google ก็เจอเว็บไซต์ของบริษัทคู่แข่งไม่ก็แบรนด์ดัง ๆ เต็มไปหมดแต่กลับไม่มีเว็บไซต์บริษัทหรือธุรกิจของเราอยู่เลย?
ปัญหานี้แก้ไขได้ โดยการทำ SEO แต่หากคุณยังไม่รู้จักว่า SEO คืออะไร? และยังไม่มั่นใจว่าถ้าทำแล้ว คนจะเห็นเว็บไซต์ของเราได้จริงหรือ หาคำตอบไปพร้อมกับเราได้ในบทความนี้เลย
SEO คืออะไร?
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การทำให้เว็บไซต์ของเราติดในหน้าแรกหรืออันดับสูง ๆ เมื่อค้นหาบน Google หรือ Search Engine อื่น ๆ ด้วยคำค้นหา (Keyword) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. On-page คือ การพัฒนาหรือปรับแต่งภายในเว็บไซต์ ให้เหมาะสมกับการทำ SEO เช่น การทำลิงก์ภายในเว็บไซต์ (Internal Link) เชื่อมกันไปมาระหว่างหน้าต่าง ๆ ฯลฯ
2. Content คือ การสร้างเนื้อหาและข้อมูลที่เกี่ยวกับธุรกิจอย่างมีคุณภาพ น่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
3. Off-page คือ การปรับปรุงปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น การให้เว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้องทำลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ Search Engine สนใจเว็บไซต์ของเรามากขึ้น
4. Technical คือ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของเว็บไซต์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเร็วในการโหลด การใส่ Tag ต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อให้เว็บไซต์รองรับการทำ SEO
หากเราทำได้ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ ผลลัพธ์ที่จะได้คือ เว็บไซต์ของเราจะติดอยู่หน้าแรกของ Google และเพียงแค่นี้เว็บไซต์ก็จะมียอดเข้าชม (Organic Traffic) เข้ามาแบบถล่มทลาย
ตัวอย่างการทำ SEO ของ iProspect ในระยะเวลา 1 ปี
เว็บไซต์มี Organic Traffic เพิ่มขึ้นมากถึง 98.54%
ข้อดีของการทำ SEO
1. เพิ่ม Organic Traffic และทำให้เว็บไซต์ของเราติดอยู่ในหน้าแรกของ Google
การทำ SEO จะปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ และช่วยให้ติดอันดับสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้เข้าชมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
2. สร้าง Brand Awareness และ Brand Credibility
หากเว็บไซต์ของเราติดอันดับในหน้าแรกด้วย Keyword จำนวนมาก เมื่อลูกค้าค้นหา ก็มีโอกาสเห็นแบรนด์ของเราบ่อยขึ้น และหากเว็บไซต์ของเราอยู่เหนือคู่แข่ง ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์อีกด้วย
3. สร้างยอดขายจากสินค้าและบริการ
การที่เว็บไซต์ติดอันดับใน Google เปรียบเสมือน On-demand Store ที่เปิดบริการตลอดเวลา ทุกครั้งที่มีคนค้นหาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ของเราก็จะอยู่ตรงนั้นตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เสมอ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการคลิกเข้าชมและซื้อสินค้าและบริการของเรานั่นเอง
ข้อจำกัดในการทำ SEO
การทำ SEO มีข้อจำกัด คือ ใช้ระยะเวลาการทำค่อนข้างนาน อาจใช้เวลา 3-6 เดือน หรือมากกว่านั้นถึงจะเห็นผล เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ความยาก-ง่ายของ Keyword ที่คุณทำอันดับอยู่ ระยะเวลาในการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้เข้าชมและแนวทางที่ Google กำหนดไว้ รวมถึงเว็บไซต์คู่แข่งของคุณต่างก็แย่งชิงกันเพื่อขึ้นมาอยู่อันดับ 1 หรือหน้าแรกของผลการค้นหาเช่นกัน
“อันดับ 1 คือ ตำแหน่งที่ทุกธุรกิจต่างต้องการ
เพื่อแสดงความเป็นที่ 1 ในอุตสาหกรรมนั้น”
SEM คืออะไร?
SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือ การทำการตลาดบน Search Engine ประกอบไปด้วยการทำ SEO และ PPC (Pay-Per-Click)
สำหรับ PPC นั้นเป็นการโฆษณาที่เราต้องจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่กดเข้ามายังเว็บไซต์ การโฆษณาลักษณะนี้ บางตำราใช้คำว่า SEM แทน PPC ไปเลยก็มี ดังนั้นสองคำนี้สามารถใช้ทดแทนกันได้
Note: เนื้อหาต่อไปนี้ เราจะใช้คำว่า SEM แทนคำว่า PPC ในความหมายของโฆษณาที่ต้องจ่ายเงินตามจำนวนคลิก
ข้อดีของ SEM คือ โฆษณาจะแสดงผลต่อกลุ่มเป้าหมายได้ทันที สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง ลงโฆษณาด้วย Keyword จำนวนมากและปรับเปลี่ยน Keyword ได้ตลอดเวลา รวมถึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเว็บไซต์มากเท่า SEO อีกด้วย จึงเหมาะกับการทำโปรโมชันและเคมเปญระยะสั้น
Source: ahrefs.com
Paid results: การแสดงผลลัพธ์การค้นหาที่มาจากการซื้อโฆษณาโดยการทำ SEM และ
Organic results: การแสดงผลลัพธ์การค้นหาที่มาจากการทำ SEO
SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร?
ทีนี้คุณคงเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่า SEO และ SEM คืออะไร แต่หากเทียบข้อแตกต่างของการทำการตลาดทั้ง 2 แบบสามารถสรุปได้ดังนี้
SEO | SEM | |
---|---|---|
เป้าหมายหลัก | Brand Awareness (Organic Traffic อันดับ, ฯลฯ) | Conversion (ยอดสั่งซื้อ ยอดจอง จำนวนคนสมัครสมาชิก ฯลฯ) |
การเข้าถึงเว็บไซต์ | ไม่เสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีคนเข้าเว็บไซต์ (Organic Traffic) | เสียค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่คนเข้าเว็บไซต์ (Paid Traffic) |
ระยะเวลาการแสดงผลลัพธ์ | ระยะเวลาแสดงผลนาน (แม้จะหยุดทำ SEO แล้วก็ยังแสดงผลอยู่) | ระยะเวลาแสดงผลขึ้นอยู่กับเงินที่ลงโฆษณา |
รูปแบบการตลาดที่เหมาะสม | Always-on / Content Marketing / เคมเปญหรือโปรโมชั่นที่มีระยะเวลานาน | เคมเปญหรือโปรโมชั่นที่มีระยะเวลาสั้น |
การแสดงผลของเว็บไซต์ | แสดงผลทุกครั้งที่ค้นหาด้วย Keyword ที่เกี่ยวข้อง | แสดงผลเฉพาะ Keyword และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด |
จากตารางจะเห็นได้ว่า SEO และ SEM ตอบโจทย์การทำธุรกิจในแบบที่แตกต่างกัน ในฐานะนักการตลาดจึงต้องเลือกใช้เครื่องมือทั้งสองให้เหมาะสมตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่หากเราสามารถทำการตลาดทั้ง 2 รูปแบบนี้ไปพร้อมกันและมีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ก็จะยิ่งทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
ธุรกิจแบบไหนควรทำ SEO
คุณอาจจะสงสัยว่า “แล้วธุรกิจของเราควรทำ SEO หรือไม่?” เราได้สรุปตัวอย่างรูปแบบธุรกิจที่ควรทำ SEO มาให้ดังนี้
1. ธุรกิจที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นผ่านทางออนไลน์ เช่น ร้านค้าออนไลน์, Marketplace อย่าง Lazada Shopee ฯลฯ
2. ธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร, ธุรกิจพลังงาน, ธุรกิจประกันภัย, ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม ฯลฯ
3. ธุรกิจที่สินค้ามีมูลค่าสูงและผู้บริโภคจำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์
4. ธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง ที่ต้องการตัดปัญหาพ่อค้าคนกลาง เช่น โรงงานรับผลิตสินค้า, ร้านค้าจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น
5. ธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวใหม่หรือต้องการสร้าง Brand Awareness
นี่เป็นเพียงตัวอย่างธุรกิจเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ ธุรกิจรูปแบบอื่น ๆ ก็สามารถทำ SEO ได้เช่นกัน เพียงแค่คุณมีเว็บไซต์และเป้าหมายที่ชัดเจน SEO ก็พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจของคุณได้เสมอ
เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการทำ SEO
Google Keyword Planner
Keyword Planner หนึ่งในฟังก์ชั่นของ Google Adwords เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการหา Keyword สำหรับนำใช้บนเว็บไซต์ โดยเราสามารถเช็กปริมาณการค้นหา (Search Volume) ของ Keyword เหล่านั้นได้ว่าจำนวนมากน้อยแค่ไหน
Keyword Planner หนึ่งในเครื่องมือสำหรับการหา Keyword ที่เราต้องการนำมาทำ SEO
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการทำเว็บไซต์และ SEO เพราะสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ได้ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค Organic Traffic อันดับเว็บไซต์ ฯลฯ
เครื่องมือด้าน SEO อื่น ๆ
มีอีกหลายส่วนที่เครื่องมือพื้นฐานของ Google ไม่สามารถทำได้หรือทำได้ไม่ดีพอ เช่น การเปรียบเทียบ Keyword ของเราและคู่แข่ง การวิเคราะห์ Backlink จำนวนมาก การเช็กอันดับรายวัน ฯลฯ เครื่องมือด้าน SEO โดยเฉพาะจึงสำคัญไม่แพ้กัน ตัวอย่างเครื่องมือที่นิยมใช้ได้แก่ Ahrefs, SEMRush, Moz, Majestic ฯลฯ
นอกจากเครื่องมือเหล่านี้ ยังมีเครื่องมืออีกมากมายที่ช่วยรวบรวมข้อมูลในการทำ SEO แต่เครื่องมือเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น เพราะข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้จะเกิดประโยชน์สูงสุด ก็ต่อเมื่อเราสามารถวิเคราะห์และแก้ไขได้อย่างตรงจุดด้วย
ประสบการณ์ของลูกค้าส่งผลต่อทัศนคติที่มีต่อแบรนด์เสมอ การค้นหาบน Search Engine และการใช้งานเว็บไซต์ก็เช่นกัน หากแบรนด์ของคุณทำธุรกิจบนเว็บไซต์ การทำ SEO และ SEM ก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด และพร้อมที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตและเป็นที่จดจำในโลกดิจิตอล